Printers With Refillable Ink Tanks
การส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก โดยต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ 7. 1แจ้งมารดาทราบถึงเพศและอาการของบุตรพันที ในรายปกติ 7. 2นำทารกมาวางใกล้มารดาหรือให้มารดาได้สัมพัสภายใน 30-45 นาที แรกคลอด 7. 3ระยะ 2 ชั่วโมงแรก ให้มารดาสัมพัสทารกโดยใช่วิธีการ ดังนี้ 7. 3. 1เริ่มจากใช้นิ้วมือแตะศีรษะแขนขา และใช้ฝ่ามือลูบไล้ใปตามลำตัว 7. 2โอบกอดหรืออุ้มทารกไว้ในวงแขน ถ้าทำได้ 7. 3ให้มีปฎิสัมพันธ์ต่อกันก่อน ที่จะนำทารกไปให้การพย าบาล อย่างอื่น และไม่ควรหยอดตาด้วย 1% Silver nitrate จนกว่าจะพัน Sensitive period คือ 30-45 นาที หลังคลอด เพื่อให้มี Eye to eye contact 7. 4กรณีที่ทารก อยู่ในภาวะเสี่ยง ต้องดูแลเป็นพิเศษ ควรส่งเสริมให้มีสัมพันธภาพเท่าที่ จะทำได้ เช่น ให้มารดาได้เห็นบุตรโดยเฉพาะเพศหรือได้ทราบอาการของบุตรเท่าที่จะรับฟังได้ 7. 5ให้โอกาสมารดาได้ซักถามถึงอาการและสภาพทั่วไป ของบุตร โดยพยาบาลยินดีให้ ความรายละเอียดและตอบคำถามด้วย ความจริงใจ เต็มใจ เพื่อให้มารดาเกิดความมั่นใจ สบายใจ
ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของคุกกี้ที่เราจัดเก็บ เหตุผลในการใช้คุกกี้ และวิธีการตั้งค่าคุกกี้ได้ใน นโยบายคุกกี้ ยืนยัน
การควบคุมอุณหภูมิ ควรเช็ดดัวให้ แห้งโดยเฉพาะศีรษะซึ่งมีเลือดมาเลี้ยงมาก ให้นอนบนที่ปูด้วยผ้าที่อุ่นและให้การพยาบาลใต้เครื่อง Radiant warmer สวมเสื้อผ้าหรือห่อตัวให้ อบอุ่น ไม่ให้นอนใกล้ทิศทางลมพัดผ่าน ควรวัดอุณหภูมิทางทวารหนักนาน 3 นาที (ครั้งแรก เพื่อประเมินรูทวาร หลังจากนั้นควรวัดทางรักแร้หรือวิธีอื่น) ถ้าพบว่า T < 36. 5 °c ให้ความ อบอุ่นโดย Radiant warmer ต่อและลดตัวนำความร้อนออกจากร่างกายทารก 4. การดูแลเกี่ยวกับตาเมื่อทารกผ่านช่องท างคลอดอาจทำให้เชื้อเข้าสู่ ตาเกิดตาอักเสบ ถ้ามีเชื้อ Gonococci อยู่หรือเรียกว่า Ophthalmic neonatorum ถ้ารักษาไม่ทันอาจทำให้ตาบอดได้การหยอดตาโดยหยด 1% AgNOj ข้างละ 1 หยดที่ Conjunctiva sac (ไม่ควรหยอดลงบน Cornea) ใช้สำลีซับเอานํ้ายา ที่เกินออก ทิ้งไว้ 15 วินาที จึงล้างออกด้วย NSS เพื่อลดการเกิด Chemical conjunctivitis บางแห่งอาจป้ายตาด้วยยาด้านจุลชีพแทน เช่น Erythromycin 0. 5%, Tetracycline 1% หรือ Terramycin eye ointment 5. การให้ Vitamin K, 1 mg. IM เพื่อป้องกินภาวะเลือดออก 6. ทำความสะอาดร่างกาย โดยการเช็ดไขบริเวณศีรษะ หลัง ข้อพับ และขาหนีบด้วยนํ้ามันมะกอก เช็ดเลือดและนํ้าครํ่าตามลำตัวออกด้วยนํ้าอุ่น (การอาบนํ้าสระผมหลังย้าย ทารกไปยังห้องทารกแรกเกิด) เช็ดสะดือใช้สำลีชุบ Triple dye และสังเกตว่ามีเลือดซึมหรือไม่ 7.
ราคา 290 บาท กับขนาด 150 ml. ราคา 590 บาท 7.
ลูกดูดนมเร็วเกินไป หากน้ำนมจากเต้านมแม่หรือจุกขวดนมไหลออกมามากเกินไป ทำให้ลูกต้องกลืนน้ำนมอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดแก๊สสะสมในกระเพาะอาหาร 2. ลูกดูดนมช้าเกินไป อาจเป็นเพราะหัวนมแม่บอด หรือจุกขวดนมมีรูเล็ก ทำให้น้ำนมไหลออกมาน้อยหรือไหลช้า ทำให้ลูกต้องกลืนอากาศเข้าไปมากขึ้นระหว่างดูดนม 3. ลูกดูดนมที่มีฟองอากาศมากเกินไป เช่น การดูดนมจากขวด หรือกินนมผงที่มีฟองอากาศเกิดขึ้นระหว่างชงผสมกับน้ำ ทารกอาจท้องอืดได้หากกลืนฟองอากาศมากเกินไป 4. ทารกบางรายเกิดอาการท้องอืดเพราะว่าแพ้โปรตีนจากอาหารบางชนิดในนมผง และนมแม่ เพราะอาหารที่คุณแม่รับประทานอาจไหลผ่านน้ำนมและส่งผลให้ลูกท้องอืดได้ 5. หลังจากที่ทารกกินนมเสร็จแล้ว คุณแม่ไม่ได้จับให้ลูกเรอเพื่อขับลม 6. ทารกร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกกลืนอากาศเข้าไปจำนวนมาก ทั้งนี้อาการท้องอืดของทารกจะค่อย ๆ น้อยลง เมื่อมีอายุมากขึ้น ส่วนทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไปที่เริ่มทานอาหารชนิดอื่นนอกจากนมแม่ ในช่วงแรกระบบย่อยอาหารอาจยังไม่ปรับตัวไม่ทัน รวมถึงการกินอาหารบางประเภท เช่น พืชตระกูลถั่ว บรอกโคลี กะหล่ำปลี รำข้าว ข้าวโอ๊ตบด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ก็ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้เช่นกันค่ะ อาการบ่งบอกว่าลูกท้องอืด อาการท้องอืด สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทารกมีอายุ 2-3 สัปดาห์ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตความผิดปกติได้เมื่อลูกน้อยแสดงอาการต่าง ๆ ดังนี้ 1.